Rail Travel

4 ทริปสั้นๆหลบหนีออกจากกรุงโตเกียวโดยใช้ JR TOKYO Wide Pass

4 ทริปสั้นๆหลบหนีออกจากกรุงโตเกียวโดยใช้ JR TOKYO Wide Pass

อัปเดตเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2023
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2021

 

โตเกียวเป็นประตูสู่ญี่ปุ่นที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุด โดยสามารถบินเข้าประเทศผ่านสนามบินฮาเนดะและสนามบินนาริตะ แม้ว่าโตเกียวจะเป็นเมืองที่ทันสมัยและสะดวกสบายเต็มไปด้วยร้านอาหารและแหล่งช็อปปิ้งมากมาย แต่บางครั้งเราก็อยากหลีกหนีจากเมืองใหญ่และหลบไปท่องเที่ยวธรรมชาติหรือเมืองที่เล็กและเงียบสงบกว่าไม่ใช่หรือ

 

โชคดีที่โตเกียวสามารถเดินทางไปจังหวัดข้างเคียงได้โดยง่ายด้วยรถไฟ และตั๋วพาส JR TOKYO Wide Pass แบบ 3 วัน จะทำให้เราท่องเที่ยวหลบหนีจากโตเกียวได้อย่างง่ายดายอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน นอกจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแล้วผู้ที่ถือพาสปอร์ตอื่นนอกจากพาสปอร์ตญี่ปุ่นแล้วก็ยังสามารถใช้พาสนี้ได้ คนที่มาทำงานเรียนหรืออาศัยในญี่ปุ่นก็สามารถใช้พาสนี้ได้!

 

บทความนี้เราจะนำเสนอ 4 สถานที่ที่เหมาะสำหรับทริปค้างคืนออกจากกรุงโตเกียว ไม่ว่าคุณจะใช้เวลา 2วัน1คืน หรือ 3วัน2คืนก็แล้วแต่คุณ พร้อมรึยังถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเลย

 

1) คาบสมุทรอิซุ

วิวพระอาทิตย์ตกจากขบวนรถไฟสายอิซุคิวโค (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

หากท่านต้องการทริปไปชายทะเล เราขอแนะนำคาบสมุทรอิซุ (Izu Peninsula) เพียงแค่ 2 ชั่วโมง 45 นาทีโดยรถไฟจากโตเกียว คาบสมุทรอิซุตั้งอยู่ในจังหวัดชิซุโอกะเป็นเสมือนอัญมณีที่เต็มไปด้วยวิวอันสวยงามของแนวชายฝั่งทะเล ออนเซ็นติดทะเล อากาศสบายๆและอาหารทะเลอร่อยๆ

 

เมืองชิโมดะ (Shimoda City) ตั้งอยู่ใต้สุดของคาบสมุทรและเป็นจุดสิ้นสุดของทางรถไฟ ในปี 1854 เรือดำ (kurofune) ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลแม็ทธิว เพร์รี ได้มาจอดที่เมืองชิโมดะและเป็นจุดเริ่มต้นนำไปสู่ความสัมพันธ์ทางการฑูตครั้งสำคัญระหว่างญี่ปุ่นกับอเมริกา ที่เมืองชิโมดะท่านสามารถล่องเรือท่องเที่ยวรอบอ่าว เรือนั้นถูกตกแต่งให้เป็นเรือดำ

 

เรือดำ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh, 伊豆急行, kimagurenote / CC BY-NC-SA 2.0)

 

บริษัทรถไฟอิซุคิวโคมีรถไฟท่องเที่ยวพิเศษรีสอร์ต 21 ประกอบไปด้วยรถไฟแบล็คชิบ (Black Ship Train) ที่ดำสนิท และรถไฟคินเมะ (Kinme Train) ที่แดงสดใส โดยทั้งสองขบวนได้แรงบันดาลใจจากเรือดำของนายพลเพร์รีและปลาคินเมะได (เราจะแนะนำปลาอันแสนอร่อยนี้ในช่วงต่อไป) ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของคาบสมุทรอิซุ รถไฟนี้วิ่งระหว่างสถานีอะตามิและสถานีอิซุคิวชิโมดะ มีที่นั่งหันหน้าไปชมวิวทะเล ไม่มีค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับที่นั่งชมวิวนี้และท่านสามารถนั่งรถไฟนี้ได้ฟรีด้วยตั๋วพาส JR TOKYO Wide Pass ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถไฟรีสอร์ต 21 จากเว็บไซต์ของบริษัทรถไฟอิซุคิวโค

 

คินเมะไดเป็นปลาทะเลลึกที่สามารถหาทานได้ที่คาบสมุทรอิซุ (เครดิตภาพ: 下田市観光協会)

 

เวลาที่ท่านอยู่ที่คาบสมุทรอิซุต้องไม่พลาดที่จะลองปลาคินเมะได ปลาสีแดงตาโตสีทองอาศัยอยู่ในทะเลลึกหลายร้อยเมตร กล่าวกันว่ากว่า 80% ของปลาที่จับได้ในเมืองชิโมดะเป็นปลาคินเมะได และจับได้มากขนาดที่เมืองจะจัดเทศกาลชิโมดะคินเมะไดทุกปีในเดือนมิถุนายน

 

ปลาคินเมะไดมีเนื้อที่อ่อนนุ่มและไขมันดี มีรสชาติอ่อนไม่จัดที่เต็มไปด้วยรสอร่อยหรืออุมามิ (umami) และจะอร่อยมากเมื่อทานพร้อมหนังปลาสักหน่อย ที่คาบสมุทรอิซุท่านจะสามารถลิ้มลองอาหารนานาชนิดที่ทำจากปลาคินเมะได เช่น ซาชิมิ ปลานึ่งโชยุ หรือชาบูชาบู นอกจากนี้ที่ชิโมดะก็ยังมีอาหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่น คินเมะไดเบอร์เกอร์ คินเมะไดเท็มปุระ คินเมะไดราเมง คินเมะไดเสียบไม้ทอดและอีกมากมาย

 

ถนนเพร์รีที่เต็มไปด้วยตึกสวยๆและคาเฟ่ชิลๆ (เครดิตภาพ:下田市観光協会)

 

นอกจากนี้ชิโมดะยังมีถนนสวยๆ ถนนเพร์รีซึ่งเชื่อมระหว่างวัดริวเซนจิและสวนชิโมดะ ถนนนี้วางตามแนวคลองเต็มไปด้วยต้นหลิวและตึกที่เป็นคาเฟ่และตึกที่เป็นร้านเสื้อผ้า เป็นถนนที่เงียบสงบและมีเสน่ห์ เหมาะสำหรับเดินเล่นสบายๆหรือจะนั่งชิลๆที่คาเฟ่ก็ได้

 

ทุกปีเดือนมิถุนายน เทศกาลดอกไฮเดรนเยียที่สวนชิโมดะ (เครดิตภาพ:下田市観光協会)

 

ที่สุดทางถนนเพร์รีคือสวนชิโมดะ ซึ่งจะสวยเป็นพิเศษในช่วงเทศกาลไฮเดรนเยียทุกปีเดือนมิถุนายน ดอกไฮเดรนเยียกว่า 3 ล้านดอก คุณทราบหรือไม่ว่าสีของดอกไฮเดรนเยียจะเปลี่ยนไปตามความเป็นกรดเป็นด่างของดิน ดินที่เป็นกรดจะให้ดอกสีน้ำเงินขณะที่ดินที่เป็นด่างจะให้ดอกสีชมพู สวนนี้ตั้งอยู่บนเนินเตี้ยๆที่สามารถมองเห็นท่าเรือชิโมดะ

 

วิวสีทองของพระอาทิตย์ตกที่เกาะโดกะชิม่าบนชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอิซุ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

คาบสมุทรอิซุเต็มไปด้วยสถานที่มากมายที่สามารถชมทัศนียภาพอันงดงาม คุณสามารถใช้เวลาหลายวันที่นี่เพื่อสำรวจหลากหลายที่ท่องเที่ยว ขณะที่ชายฝั่งตะวันออกสามารถเดินทางด้วยรถไฟ ชายฝั่งตะวันตกและส่วนกลางของคาบสมุทรสามารถเดินทางด้วยเครือข่ายรถบัสท้องถิ่น (รถบัสไม่ครอบคลุมด้วยตั๋ว JR TOKYO Wide Pass)

 

เขตนิชิอิซุ บนชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรเดินทาง 1 ชั่วโมงโดยบัสจากชิโมดะ โดยเฉพาะบริเวณเกาะโดกะชิม่านั้นขึ้นชื่อในเรื่องวิวสีทองของพระอาทิตย์ตก รีสอร์ทโรงแรมในบริเวณนั้นเสิร์ฟอาหารชุดไคเซกิที่เป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่นและมีออนเซ็นกลางแจ้งที่สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตกขณะที่กำลังแช่ออนเซ็น

 

ดอกคาวาซุซากุระบานเต็มที่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

บางทีภาพที่นักท่องเที่ยวนึกถึงคาบสมุทรอิซุมากที่สุดคือภาพของเทศกาลดอกคาวาซุซากุระ ไม่เหมือนกับซากุระพันธุ์พื้นฐาน โซเมโยชิโนะ ที่บานเพียงสัปดาห์เดียว คาวาซุซากุระบานถึง 1 เดือนจากต้นเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคม ต้นคาวาซุซากุระเรียงรายตามแม่น้ำคาวาซุกว่า 4 กิโลเมตร มีสีชมพูเข้มและบานพร้อมกับดอกนาโนะฮานะสีเหลืองสดใส จุดชมคาวาซุซากุระนี้สามารถเดินระยะทางสั้นๆจากสถานีรถไฟคาวาซุ (Kawazu Station)

 

รถไฟ SAPHIR ODORIKO (เครดิตภาพ: JR East)

 

หากท่านต้องการท่องเที่ยวไปในคาบสมุทรอิซุอย่างทันสมัย ต้องเช็ครีสอร์ตเทรน SAPHIR ODORIKO ซึ่งให้บริการเพียงที่นั่งแบบ Green Car หรือ Premium Green Car เท่านั้น ทำให้ถ้าจะขึ้นรถไฟขบวนนี้ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่ม 5,150–7,470 เยนนอกเหนือจากตั๋วพาส JR TOKYO Wide Pass

 

การเดินทางสู่คาบสมุทรอิซุ

จากสถานี JR Tо̄kyо̄ (東京駅) ขึ้นรถไฟด่วนพิเศษ Limited Express Odoriko ไปยังสถานี Izukyū-Shimoda (伊豆急下田駅) (ใช้เวลาเดินทาง 2.5–3 ชั่วโมง) รถไฟด่วนธรรมดาและรถไฟท้องถิ่นบนสาย Izukyuko สามารถโดยสารได้ฟรีสำหรับผู้ถือ JR TOKYO Wide Pass ราคา 10,180 เยน JR TOKYO Wide Pass ถูกกว่าการนั่งไปกลับด้วย Limited Express Odoriko ระหว่างโตเกียวและอิซุคิว-ชิโมดะ (12,360 เยน)

 

2) โอคุนิกโก้

ทะเลสาบยุโนะโคะในฤดูใบไม้ร่วง (เครดิตภาพ: 日光市観光協会)

 

หากท่านปรารถนาไปที่ธรรมชาติรายล้อมละก็ แนะนำให้มุ่งหน้าสู่โอคุนิกโก้ซึ่งเดินทางง่ายจากกรุงโตเกียวใช้เวลาน้อยกว่า 3 ชั่วโมง นิกโก้เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะมรดกโลกที่เต็มไปด้วยวัดและศาลเจ้า เช่น โทโชกุ (วัดที่มีหลุมศพของโทกุกาว่า อิเอยาสุ) และวัดรินโนจิ แต่ถ้าคุณไปไกลกว่านั้นลึกเข้าไปในอุทยานแห่งชาตินิกโก้ ท่านจะได้พบอีกด้านหนึ่งของนิกโก้ที่สวยงามและสงบตั้งอยู่ใจกลางธรรมชาติ

 

ทะเลสาบชูเซนจิและภูเขานันไท (เครดิตภาพ : photoAC)

 

นั่งบัสเพียง 45 นาทีจากสถานีรถไฟนิกโก้ (JR Nikko Station) ก็จะถึงทะเลสาบชูเซนจิ ที่ซึ่งเต็มไปด้วยรีสอร์ทโรงแรมบนฝั่งตะวันออก เป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 1,269 เมตร ทำให้มีอากาศเย็นสบายเหมาะกับหนีจากอากาศร้อนของเมืองใหญ่ จากทะเลสาบท่านสามารถเดินทางต่อไปยังน้ำตกที่มีชื่อเสียงที่สุดของนิกโก้ คือ น้ำตกเคกง และน้ำตกริวซู

 

น้ำตกเคกง (เครดิตภาพ : photoAC)

 

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าน้ำตกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของนิกโก้คือ น้ำตกเคกง ซึ่งตั้งอยู่สูง 100 เมตรและเป็นทางน้ำไหลออกทะเลสาบชูเซนจิ น้ำตกเคกงจัดให้เป็น 1 ใน 3 น้ำตกที่สวยที่สุดของญี่ปุ่นไปกับน้ำตกนาจิในจังหวัดวากะยาม่าและน้ำตกฟุคุโรดะในจังหวัดอิบาราคิ

 

ใกล้กับน้ำตกจะมีจุดชมวิว 2 จุด หนึ่งจุดจะฟรีแต่อีกหนึ่งจุดจ่าย 570 เยน จุดฟรีสามารถเดินเท้าเข้าไปชมได้ จุดเสียเงินจะต้องนั่งลิฟท์ลงไปยังฐานของน้ำตก

 

วิวน้ำตกเคกงและทะเลสาบชูเซนจิ จากจุดชมวิวอะเคจิไดระ (เครดิตภาพ : photoAC)

 

เพื่อวิวที่น่าประทับใจยิ่งขึ้นของวิวทะเลสาบเคกงคู่กับทะเลสาบชูเซนจิ ท่านสามารถไปชมได้ที่จุดชมวิวอะเคจิไดระซึ่งนั่งโรปเวย์เพียง 3 นาทีจากที่ราบสูงอะเคจิไดระ

 

ข้อควรระวัง บัสหยุดที่อะเคจิไดระเพียงขาเดียว ดังนั้นคุณควรแวะที่นี่ก่อนไปทะเลสาบชูเซนจิจากสถานีรถไฟนิกโก้ ขณะที่บัสจากทะเลสาบชูเซนจิไปสถานีรถไฟนิกโก้ไม่จอดที่อะเคจิไดระ

 

น้ำตกริวซูในฤดูใบไม้ร่วง  (เครดิตภาพ: 日光市観光協会)

 

นั่งรถบัสลึกเข้าไปอีกจากทะเลสาบชูเซนจิประมาณ 15 นาทีจะถึงอีกหนึ่งน้ำตกชื่อดังของนิกโก้ น้ำตกริวซูแปลว่าน้ำตกหัวมังกร ซึ่งจะสวยมากจนคุณหยุดลืมหายใจในฤดูใบไม้ร่วงในช่วงเวลาที่ต้นไม้ใบไม้รอบตัวคุณเปลี่ยนสีเป็นสีแดงหรือเหลืองสวยหลากเฉด

 

ทะเลสาบยุโนะโคะและน้ำตกยุดาคิ (เครดิตภาพ: 日光市観光協会)

 

นั่งบัสลึกต่อเข้าไปอีกจากน้ำตกริวซูจะพบกับวิวสวยงามของทะเลสาบยุโนะโคะซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองออนเซ็นเงียบๆที่ชื่อว่า ยุโมะโตะออนเซ็น บริเวณทางตอนใต้ของทะเลสาบมีน้ำตกยุดาคิซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางเดินชมธรรมชาติเซนโจะกะฮาระที่เป็นเส้นทางที่ถูกดูแลอย่างดี เดินง่าย เป็นเส้นทางลงเขาไม่ชัน ระยะทาง 6 กิโลเมตรประมาณ 1 ชั่วโมงเชื่อมต่อน้ำตกยุดาคิผ่านที่ราบชุ่มน้ำเซนโจะกะฮาระไปสิ้นสุดที่น้ำตกริวซู หากท่านมาในช่วงเดือนมิถุนายนคุณจะสามารถชื่นชมไปกับบรรยากาศสีเขียวของต้นไม้ที่เพียงแตกยอดใบอ่อนและดอกไม้แบบที่ราบสูงอัลไพน์ หากท่านมาในช่วงเดือนตุลาคมคุณจะชื่นชมกับใบไม้เปลี่ยนสี

 

การตกแต่งภายนอกของสถานีรถไฟเจอาร์นิกโก้ (เครดิตภาพ:JR East)

 

การเดินทางสู่นิกโก้

จากสถานีรถไฟโตเกียวนั่งชินคันเซ็น 50 นาทีไปสถานีรถไฟเจอาร์อุซึโนะมิยะและเปลี่ยนเป็นรถไฟสายนิกโก้นั่งต่ออีก 45 นาทีถึงสถานีรถไฟเจอาร์นิกโก้ ตั๋ว JR TOKYO Wide Pass มีราคาเพียง 10,180 เยนถูกกว่าค่าตั๋วรถไฟไปกลับจากโตเกียวถึงนิกโก้ที่ราคา 11,360 เยน

 

สำหรับการเดินทางภายในโอคุนิกโก้แนะนำให้ซื้อพาสรถบัส 2 วันนั่งได้ไม่จำกัด สามารถซื้อได้ที่ที่ขายตั๋วของสถานีรถไฟเจอาร์นิกโก้ ค่าพาสรถบัสนั้นถูกกว่าตั๋วรถบัสไปกลับเสียอีก พาสรถบัส 2 วันชูเซนจิออนเซ็นราคา 2,300 เยนไม่ครอบคลุมถึงน้ำตกริวซูและยุโมะโตะออนเซ็น พาสรถบัส 2 วันยุโมะโตะออนเซ็นราคา 3,500 เยนจะครอบคลุมทั้งทะเลสาบชูเซนจิ น้ำตกริวซูและยุโมะโตะออนเซ็น

 

3) คุซาสึออนเซ็น

สิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวต้องการระหว่างมาโตเกียวก็คือสถานที่ที่จะเพลิดเพลินไปกับออนเซ็น ข่าวดีมากๆก็คือในเขตคันโตอุดมไปด้วยออนเซ็นรีสอร์ทและหลายๆออนเซ็นสามารถไปถึงด้วยตั๋ว JR TOKYO Wide Pass หนึ่งในออนเซ็นเหล่านั้นก็คือ คุซาสึออนเซ็น ซึ่งเป็นหนึ่งในออนเซ็นที่ข้าพเจ้าชอบเป็นส่วนตัวเพราะน้ำออนเซ็นเต็มไปด้วยแร่ซัลเฟอร์

 

ถนนหลักของคุซาสึออนเซ็นและออนเซ็นแช่เท้าฟรี (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

เมื่อมาถึงคุซาสึออนเซ็นท่านจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นกำมะถันตลบอบอวลไปทั่วเมืองออนเซ็น คุซาสึออนเซ็นเป็นออนเซ็นที่มีน้ำแร่ไหลออกมามากที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยน้ำออนเซ็นที่มีฤทธิ์เป็นกรดสูงจึงมีคำกล่าวที่ว่าสามารถรักษาได้ทุกโรคยกเว้นโรคเกี่ยวกับความรัก

 

การแช่น้ำแร่ในคุซาสึออนเซ็นจะทำคุณผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่งและทำให้ผิวคุณนุ่มลื่นดุจไหม แต่ต้องระวังไม่แช่นานเกินไปเพราะน้ำแร่อุณหภูมิสูงจะทำให้คุณหมดสติได้

 

ยุบะทะเกะเป็นแหล่งน้ำแร่หลักของคุซาสึออนเซ็น (เครดิตภาพ: ググっとぐんま写真館)

 

ยุบะทะเกะตั้งอยู่กลางเมืองเป็นแหล่งน้ำแร่หลักของคุซาสึออนเซ็น น้ำแร่ไหลออกมากว่า 4,000 ลิตรต่อนาทีจากภูเขาไฟชิราเนะที่ยังคุกรุ่นอยู่และร้อนกว่า 70 องศา เนื่องจากน้ำแร่ที่ออกมาร้อนเกินกว่าจะนำไปใช้ได้ จึงต้องทำให้เย็นผ่านท่อน้ำที่ทำด้วยไม้ไหลไปยังเรียวกังและโรงแรมต่างๆ

 

นักท่องเที่ยวลองทำ ยุโมมิ ด้วยตัวเอง  (เครดิตภาพ: ググっとぐんま写真館)

 

ยุโมมิคืออีกวิธีหนึ่งในการหล่อเย็นน้ำแร่ ซึ่งเป็นวิธีการเก่าแก่กว่า 100 ปี โดยทำการตีน้ำด้วยไม้พาย วิธีการตีน้ำนี้จะทำให้อุณหภูมิลดลงเหมาะสมกับการแช่ออนเซ็นโดยไม่ต้องเติมน้ำเย็นเพื่อเจือจางน้ำแร่ ซึ่งน้ำเย็นจะไปเจือจางแร่ธาตุและลดคุณภาพการรักษาโรคของน้ำแร่ ที่นี่มีการแสดงยุโมมิโชว์ให้นักท่องเที่ยวชมด้วย หากคุณไปได้ถูกเวลาคุณอาจจะได้ร่วมกิจกรรมตีน้ำแร่เองด้วย

 

ออนเซ็นกลางแจ้งไซโนะคาวาระในฤดูกาลต่างๆ (เครดิตภาพ: ググっとぐんま写真館)

 

ประสบการณ์ที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะสามารถสัมผัสได้ด้วยการแช่น้ำแร่ออนเซ็นกลางแจ้งไซโนะคาวาระ เดินเพียง 12 นาทีจากยุบะทะเกะ บ่อกลางแจ้งขนาดใหญ่มหึมานี้เป็นแหล่งน้ำแร่ที่ให้ปริมาณน้ำเป็นอันดับสองของคุซาสึออนเซ็น แยกเป็นบ่อชายหญิงและสามารถรองรับได้มากกว่า 100 คน ล้อมรอบไปด้วยป่าเขาซึ่งเปลี่ยนสีไปตามฤดูกาล ท่านจะสามารถสนุกและผ่อนคลายไปกับออนเซ็นและชมวิวธรรมชาติ

 

ทุกเย็นวันศุกร์ออนเซ็นกลางแจ้งไซโนะคาวาระจะให้บริการบ่อรวมชายหญิงที่ซึ่งสามารถสวมชุดว่ายน้ำหรือจะโพกผ้าเช็ดตัวแช่ออนเซ็นร่วมกันกับครอบครัวหรือคู่รักก็ได้ โดยปรกติแล้วไม่อนุญาติให้สวมเสื้อผ้าใดๆเลยเวลาแช่ออนเซ็น หากคุณรู้สึกไม่สบายใจที่จะเปลือยกายในออนเซ็นวันศุกร์คือวันที่ควรไป

 

บริเวณภายนอกของสถานีรถบัสคุซาสึออนเซ็น (เครดิตภาพ: Volksoper / CC BY-SA 3.0)

 

การเดินทางไปคุซาสึออนเซ็น

จากสถานี JR Tо̄kyо̄ ขึ้นรถไฟด่วนพิเศษ Kusatsu-shima และลงที่สถานี JR Naganoharakusatsuguchi (ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 20 นาที) หรือขึ้นรถไฟชินคันเซ็นสายโฮคุริคุจากสถานี JR อุเอโนะไปยังสถานี JR ทาคาซากิ (高崎駅) จากนั้นเปลี่ยนไปที่สถานีนางาโนะฮาราคุซัตสึกุจิ จากสถานี JR Naganoharakusatsuguchi เปลี่ยนไป Kusatsu Onsen โดย JR Kanto Bus (เที่ยวเดียว 710 เยน ใช้เวลา 25 นาที)

JR Tokyo Wide Pass ราคา 10,180 เยน ถูกกว่าชินคันเซ็นไป-กลับและรถไฟท้องถิ่นระหว่างโตเกียวและนางาโนะฮาราคุซัตสึกุจิ (12,240 เยน)

 

4) คารุอิซาวะ

ท่านสนใจอยากจะไปเที่ยวที่ราบสูงใช่ไหม เพียง 60 นาทีโดยชินคันเซ็นจากกรุงโตเกียวนั่นก็คือ คารุอิซาวะ เมืองรีสอร์ทที่ราบสูงตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 1,000 เมตรทำให้คารุอิซาวะมีอากาศเย็นสบายแม้กระทั่งในฤดูร้อนและเป็นที่ชื่นชอบมากในทริปหลีกหนีจากโตเกียว

 

สนุกไปกับการเดินเล่นบนถนนคิวคารุอิซาวะกินซ่า (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

ตึกบนถนนคิวคารุอิซาวะกินซ่ามีสไตล์ตะวันตก เต็มไปด้วยคาเฟ่ ร้านเบเกอร์รี่ หากคุณเดินเล่นบนถนนนี้อย่าพลาดชิมและดื่มด่ำไปกับบรรยากาศ และคุณอาจจะได้เจอร้านที่มีเมอร์ไลออนด้วย

 

สำหรับนักช็อปก็ชอบคารุอิซาวะด้วย เพราะมีคารุอิซาวะปรินซ์ช็อปปิ้งพลาซ่า ช็อปปิ้งมอลล์ขนาดใหญ่ด้วยร้านค้ามากกว่า 200 ร้านและตั้งอยู่ติดกับสถานีรถไฟเจอาร์คารุอิซาวะ

 

คุโมะบะอิเคะเป็นจุดเงียบสงบเหมาะสำหรับชื่นชมธรรมชาติ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

บึงคุโมะบะอิเคะตั้งอยู่เพียงเดิน 30 นาทีหรือปั่นจักรยาน 10 นาทีจากสถานีรถไฟเจอาร์คารุอิซาวะ รู้จักกันดีในชื่อทะเลสาบหงส์แม้ว่าจะไม่มีหงส์ก็ตาม บึงคุโมะบะอิเคะสามารถชมวิวอันสวยงามของภาพสะท้อนท้องฟ้าและต้นไม้บนผิวน้ำ และจะยิ่งสวยขึ้นไปอีกในฤดูใบไม้ร่วงที่ใบเมเปิลจะเปลี่ยนเป็นสีส้มและแดง

 

น้ำตกชิราอิโตะ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

สำหรับผู้รักธรรมชาติสามารถนั่งรถบัส 30 นาที 720 เยนไปยังหนึ่งในไฮไลต์ของคารุอิซาวะ นั่นก็คือ น้ำตกชิราอิโตะ ซึ่งหมายถึงเส้นด้ายสีขาว น้ำตกเป็นสายเล็กดั่งเส้นด้ายสีขาวนั่นเอง

 

ภูมิทัศน์หินอันน่าหลงไหลของสวนโอนิโอะชิดะชิ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

เดินทางออกไปอีกสักหน่อย ประมาณ 45 นาที 1,230 เยนโดยรถบัสจากคารุอิซาวะคือสวนโอนิโอะชิดะชิ ที่เต็มไปด้วยหินภูเขาไฟสีดำก่อเกิดภูมิทัศน์แปลกตา ซึ่งเกิดจากลาวาที่ไหลมาจากการระเบิดของภูเขาไฟอะสะมะในปี 1783 และแน่นอนนี่จะเป็นประสบการณ์ที่คุณจะไม่เจอที่โตเกียว นอกจากโอกาสที่จะได้สัมผัสกับหินภูเขาไฟแล้วสวนนี้ก็ยังสามารถชมวิวภูเขาอะสะมะและเมืองใกล้เคียงได้อีกด้วย

 

ภายนอกของสถานีรถไฟเจอาร์คารุอิซาวะ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

การเดินทางไปคารุอิซาวะ

สถานีรถไฟเจอาร์คารุอิซาวะตั้งอยู่เพียง 65 นาทีโดยชินคันเซ็นโฮะคุริคุจากสถานีโตเกียว

 

คุณทราบหรือไม่ว่ามีรถบัสวิ่งตรงระหว่างคุซาสึออนเซ็นกับคารุอิซาวะ (ค่าโดยสารไม่ครอบคลุมด้วยตั๋ว JR TOKYO Wide Pass) ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งและค่าโดยสาร 2,240 เยน มีบริษัทเดินรถสองบริษัทที่ให้บริการ บริษัทหนึ่งเดินรถผ่านน้ำตกชิราอิโตะและอีกบริษัทหนึ่งเดินรถผ่านสวนโอนิโอะชิดะชิ หากคุณต้องการท่องเที่ยวให้คุ้มเวลาคุณสามารถเยือนคุซาสึออนเซ็นไปพร้อมกับคารุอิซาวะในทริปเดียว

 

JR TOKYO Wide Pass

สถานที่ที่ข้าพเจ้าได้กล่าวในบทความนี้เหมาะสำหรับทริปค้างคืนที่คุณสามารถสัมผัสกับสถานที่ท่องเที่ยวอย่างไม่เร่งรีบ แต่อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับสไตล์การท่องเที่ยวของคุณ คุณสามารถใช้โตเกียวเป็นฐานและท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับตลอด 3 วันของตั๋วใบนี้ได้

 

สำหรับโปรแกรมแนะนำอื่นๆของตั๋ว JR TOKYO Wide Pass นี้ ท่านสามารถดูจากบทความก่อนหน้านี้เกี่ยวกับดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิของเขตคันโต (สวนดอกไม้อะชิคากะ สวนฮิตาชิซีไซด์ และเทศกาลฟูจิชิบะซากุระ) หรือบทความเกี่ยวกับประสบการณ์สัมผัสฤดูหนาวที่กาล่ายูซาวะและเอจิโกะยูซาวะ หรือบทความแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวทุกฤดูกาลของตั๋ว JR TOKYO Wide Pass

 

ตั๋ว JR TOKYO Wide Pass และแผนภาพพื้นที่ใช้ตั๋ว (เครดิตภาพ: JR East)

 

ตั๋ว JR TOKYO Wide Pass เป็นตั๋วพาสที่ราคาไม่แพง นั่งรถไฟได้ไม่จำกัดของรถไฟเจอาร์อีสต์ (รวมชินคันเซ็นที่เดินรถโดยเจอาร์อีสต์) และบางรถไฟที่ไม่ได้เดินรถโดยเจอาร์ในพื้นที่กำหนด 3 วันติดต่อกัน ด้วยราคาเพียง 10,180 เยนถูกกว่าค่าโดยสารไปกลับจากโตเกียวไปยัง 4 สถานที่ที่กล่าวมาแล้วในบทความ นอกจากนี้ยังครอบคลุมไปถึงเส้นทางรถไฟอื่นนอกจากเจอาร์ เช่น อิซุคิวโคสำหรับคาบสมุทรอิซุ ฟูจิคิวโคสำหรับทะเลสาบคาวากูจิโกะ คุณสามารถจองที่นั่งผ่านระบบออนไลน์โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จองได้ตั้งแต่ 1 เดือนก่อนเดินทางที่เว็บไซต์นี้

 

เครดิตรูปภาพส่วนหัวบทความ: JR East / Akio Kobori

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

Share this article:
TSC-Banner