2410.Azumino
Rail Travel

Rail Report: ทริป 1 วันบนรถไฟหรู SAPHIR ODORIKO สู่เมืองชิโมดะ

Rail Report: ทริป 1 วันบนรถไฟหรู SAPHIR ODORIKO สู่เมืองชิโมดะ

SAPHIR ODORIKO (サフィール踊り子) สีน้ำเงินสวยงามที่วิ่งให้บริการทุกวันระหว่างสถานี Tokyo และสถานี Izukyū-Shimoda ในแหลมอิสุนั้น เป็นรถไฟท่องเที่ยวระดับหรูที่มีจุดเด่นคือที่นั่ง Premium Green ใหม่เอี่ยมของ JR East

 

รถไฟสวยสง่าขบวนนี้เปิดตัวในเดือนมีนาคม 2020 แต่เพราะการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่กำลังดำเนินอยู่ในตอนนั้น ทำให้มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติไม่กี่คนเท่านั้นที่มีโอกาสได้นั่งมัน เมื่อเดือนมิถุนายน ฉันมีโอกาสพิเศษที่ได้ขึ้นรถไฟท่องเที่ยวระดับหรูขบวนใหม่นี้ และในบทความนี้ฉันจะมาแชร์ประสบการณ์กับคุณ คุณพร้อมไหม? ไปกันเลย!

 

เดินทางในตู้รถ Premium Green ของ SAPHIR ODORIKO

SAPHIR ODORIKO สีน้ำเงินสวยงามที่วิ่งไปตามชายฝั่งทะเล (เครดิตภาพ: JR East)

 

SAPHIR ODORIKO ที่โดดเด่นด้วยการตกแต่งภายนอกเป็นสีน้ำเงินเข้มทันสมัยซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากทะเลน้ำเงินไพลินและท้องฟ้างามตาของแหลมอิสุขบวนนี้ เป็นรถไฟที่ออกแบบโดยเคน โอคุยามะ (Ken Okuyama) นักออกแบบอุตสาหกรรมชื่อดังที่เคยทำงานกับรถไฟท่องเที่ยวหรู Train Suite Shiki-shima และบรรดารถไฟ Joyful Train ของ JR East อีกมากมาย 

 

รู้ไหมเอ่ย? คำว่า “Saphir” เป็นภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า “ไพลิน (Sapphire)” และ “Odoriko” มาจาก “Izu no Odoriko” (伊豆の踊り子 The Dancing Girl of Izu) วรรณกรรมชื่อดังที่มีแหลมอิสุเป็นฉากหลัง ประพันธ์โดยคาวาบาตะ ยาสุนาริ (Kawabata Yasunari) นักเขียนผู้ชนะรางวัลโนเบลนั่นเอง


SAPHIR ODORIKO ให้บริการโดยใช้รถไฟ E261 ซีรี่ส์ใหม่เอี่ยมและเป็นรถไฟที่สวยงามน่ามองเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่าไฮไลต์ของรถไฟยาวแปดตู้รถขบวนนี้คือที่นั่ง Premium Green (プレミアムグリーン) ซึ่งเป็นระดับชั้นที่นั่งที่อยู่ระหว่าง Green และ Gran Class

 

ที่นั่ง Premium Green บน SAPHIR ODORIKO (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

ทริปนี้ฉันได้นั่งที่นั่ง Premium Green ด้วย! เมื่อมองที่นั่งในตู้รถคันนี้ดูแล้วให้ความรู้สึก “พรีเมี่ยม” สมชื่อจริงๆ ตั้งแต่เบาะนวมที่หรูและนั่งสบาย ฟังก์ชันหมุนหันเก้าอี้เข้าหาหน้าต่างเก๋ๆ การปรับเบาะเอนด้วยระบบไฟฟ้าแสนสบายราวกับได้ขึ้นสวรรค์ ไปจนถึงวิวยอดเยี่ยมที่มองได้จากหลายทิศทางด้วยบรรดาหน้าต่างกว้างและแสงธรรมชาติจากท้องฟ้า ทำให้การนั่ง SAPHIR ODORIKO นี้เป็นทริปที่ฉันจะจดจำไปอีกนานแสนนานอย่างไม่ต้องสงสัย

 

ตู้รถห้องอาหารบน SAPHIR ODORIKO (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

นอกจากที่นั่ง Premium Green แสนสบายแล้ว สิ่งที่ต้องลองบน SAPHIR ODORIKO ก็คืออาหารสักจานจากห้องอาหารซึ่งมีจุดเด่นคือครัวแบบเปิด (Open-kitchen)

 

SAPHIR Pay. (เครดิตภาพ: JR East)

 

ด้วยความที่เป็นรถไฟใหม่ SAPHIR ODORIKO ก็มีเทคโนโลยีใหม่ด้วยเช่นกัน ซึ่งกำหนดให้การสั่งอาหารและการชำระเงินทั้งหมดต้องผ่านเว็บไซต์ SAPHIR Pay (เข้าได้ด้วยสมาร์ทโฟนเท่านั้น) เพียงเลือกอาหารที่คุณอยากสั่งจากเมนู จ่ายด้วยบัตรเครดิต และระบบจะออก QR โค้ดให้ โดยนำ QR โค้ดนี้ไปแสดงต่อพนักงานที่ห้องอาหาร แล้วเขาก็จะนำออร์เดอร์ของคุณมาให้

 

ลิงกวีเนปลาแมคเคอเรลสุดอร่อย (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

ระหว่างทริปของฉัน ห้องอาหารก็กำลังเสิร์ฟอาหารอิตาเลียนที่คัดสรรโดยเชฟเท็ตสึยะ ฮอนดะ (Tetsuya Honda) จาก Ristorante HONDA และฉันได้อร่อยกับ “ปลาแมคเคอเรลอุโอะคิวจากอิสุและลิงกวีเนผักกวางตุ้งโคมัตสึนะ เสิร์ฟพร้อมไข่ปลาคาราสุมิ” ที่เสิร์ฟพร้อมขนมปังและน้ำเปล่า และฉันยังสั่งไซเดอร์ส้มไดได รวมถึงเจลาโต้มาเป็นของหวานด้วย

 

อาหารถูกกินเรียบในพริบตา (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้กินพาสต้าปลาแมคเคอเรล และความคลางแคลงใจทั้งหมดที่ฉันมีในตอนแรกก็หายไปทันทีที่ฉันตักคำแรกเข้าปากแบบเต็มๆ รสชาติปลาและซอสพาสต้าที่ผสานรวมกันนั้นเยี่ยมไปเลยและต่างจากพาสต้าอื่นๆ ที่ฉันเคยลิ้มรสมาก่อน ก่อนที่ฉันจะรู้ตัวพาสต้าก็หายวับไปเสียแล้ว

 

วิวจากบนรถไฟ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

เนื่องด้วย COVID-19 แขกจะมีเวลา 20 นาทีเท่านั้นในการรับประทานอาหารในห้องอาหาร ด้วยความที่ฉันกินพาสต้าหมดเร็วฉันเลยใช้เวลาที่เหลือเพื่อชื่นชมวิวที่เห็นได้จากที่นั่งซึ่งหันเข้าหาหน้าต่าง สภาพอากาศตอนนั้นมีฝนพรำ แต่วิวชายฝั่งทะเลก็ยังเยี่ยมอยู่

SAPHIR ODORIKO มีทั้งหมดแปดตู้รถด้วยกัน และทั้งหมดล้วนเป็นที่นั่งระดับ Green Car ขึ้นไป ตู้รถคันหนึ่งมีที่นั่ง Premium Green ส่วนตู้รถอีกคันหนึ่งเป็นห้องอาหาร อีกสี่ตู้รถมีที่นั่ง Green Car ที่จัดวางแบบ 2+1 และอีกสองตู้รถคือห้อง Green Car แบบส่วนตัว

 

ห้อง Green แบบส่วนตัวบน SAPHIR ODORIKO (เครดิตภาพ: JR East)

 

ครั้งนี้ฉันเดินทางคนเดียวโดยนั่งที่นั่ง Premium Green แต่ถ้าฉันจะได้ขึ้นรถไฟนี้อีกครั้งกับครอบครัวหรือเพื่อนล่ะก็ ฉันจะเลือกนั่งห้อง Green Car แบบส่วนตัวแน่นอน

 

บนรถไฟจะมีห้องส่วนตัวแบบสี่ที่นั่งและแบบหกที่นั่ง ทั้งสองแบบต่างเอื้อให้เรามีพื้นที่ส่วนตัวเพื่อเพลิดเพลินกับการนั่งชมวิวได้อย่างแท้จริง โดยมีบรรดาหน้าต่างบานใหญ่ที่หันเข้าหาทะเล มันเหมาะมากสำหรับกลุ่มเล็กๆ และฉันอิจฉาผู้โดยสารคนอื่นที่ได้นั่งเพลินๆ ในห้องเหล่านี้

 

SAPHIR ODORIKO ในฤดูร้อน (เครดิตภาพ: JR East)

 

รถไฟใช้เวลาเพียง 2.5 ชั่วโมงจาก Tokyo ไป Izukyu-Shimoda และด้วยความที่อยู่ทำเลใกล้กับโตเกียวและโยโกฮามา แหลมอิสุจึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมสำหรับผู้อาศัยอยู่ในเมืองที่กำลังมองหาวิวทิวทัศน์ที่ต่างออกไปบ้าง SAPHIR ODORIKO มักมีนักท่องเที่ยวในประเทศมาจับจองที่นั่งจนเต็มโดยเฉพาะในฤดูร้อน เพื่อที่พวกเขาจะได้มาเพลิดเพลินกับแนวชายฝั่งสวยงาม ออนเซ็นริมทะเล สภาพอากาศสบายๆ และอาหารทะเลอร่อยๆ ของแหลมอิสุนั่นเอง

 

มหกรรมดอกไฮเดรนเยีย

เมื่อตอนที่ฉันไปเที่ยวในเดือนมิถุนายนนั้น ดอกไฮเดรนเยีย (あじさい ajisai) กำลังบานอยู่ในสวน Shimoda ฉันจึงใช้เวลาสักพักในการไปดูเทศกาลดอกไฮเดรนเยียและเดินเล่นรอบๆ เมืองชิโมดะ

 

แผนที่สวน Shimoda (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

สวนชิโมดะ (下田公園 Shimoda Kо̄en) ที่เดินจากสถานี Izukyu-Shimoda ไปได้ใน 25 นาทีแห่งนี้ เป็นแหล่งรวมดอกไฮเดรนเยีย 3 ล้านดอก ดอกไม้ที่สวยเด่นสะดุดตาและมีหลากสีสัน ซึ่งถือเป็นสัญญาณบอกถึงจุดสิ้นสุดของฤดูใบไม้ผลิและจุดเริ่มต้นของฤดูร้อน

 

ดอกไฮเดรนเยียสีสันต่างๆ ที่สวนชิโมดะ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

ทุกเดือนมิถุนายน สวนชิโมดะจะจัดงานเทศกาลดอกไฮเดรนเยีย (あじさい祭り ajisai matsuri) ที่กินเวลานานหนึ่งเดือน และนักท่องเที่ยวสามารถมาชื่นชมบรรดาดอกไฮเดรนเยียสวยงามที่บานเป็นสีสดใสต่างๆ ทั้งน้ำเงินเข้ม ม่วงเข้ม ชมพูสด ขาว และอีกหลายเฉดสีที่อยู่ระหว่างสีเหล่านั้น แม้ว่าสภาพอากาศจะขมุกขมัวเล็กน้อยในตอนที่ฉันไปถึง แต่ดอกไฮเดรนเยียที่มีสีสันเหล่านี้ก็คุ้มค่าแก่การมาชมจริงๆ

 

บันไดที่มีมนต์ขลังที่สวนชิโมดะ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

สวนชิโมดะถูกสร้างขึ้นบนเนินเขา และเมื่อดอกไฮเดรนเยียกำลังบาน ภาพแนวขั้นบันไดหินที่ขนาบข้างด้วยพุ่มไม้สีเขียวสดแต่งแต้มด้วยดอกไฮเดรนเยียหลากสีสันนั้นเป็นภาพที่มีมนต์เสน่ห์ที่ดูเหมือนหลุดออกมาจากภาพวาดก็ไม่ปาน ช่างสวยงามจริงๆ !

 

เพลิดเพลินไปกับวิวของท่าเรือชิโมดะจากสวนชิโมดะ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

มีจุดที่มองวิวกว้างได้และจุดแวะพักมากมายให้นักท่องเที่ยวได้พักหายใจและชื่นชมทิวทัศน์ท่าเรือชิโมดะเบื้องล่างได้ ระหว่างที่ฉันไปเที่ยว ฉันเห็นสาวๆ บางคนแต่งชุดยูกาตะและถ่ายรูปกับดอกไฮเดรนเยียด้วย ทิวทัศน์ที่สวนแห่งนี้สวยงามจริงๆ และฉันโชคดีที่ได้มาชมมัน

 

ดอกไฮเดรนเยียที่มีสีสันต่างกันออกไป (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

ระหว่างที่กำลังเดินไปยังทางออกของสวนนั่นเอง ฉันประหลาดใจที่ได้เห็นแถวดอกไฮเดรนเยียนี้ซึ่งมีดอกไม้สีต่างๆ เรียงรายกันอยู่ ว่ากันว่าสีของดอกไฮเดรนเยียจะเปลี่ยนไปตามค่า pH ของดิน โดยดอกไฮเดรนเยียที่ปลูกในดินที่มีความเป็นกรดจะมีสีฟ้า ในขณะที่ไฮเดรนเยียที่ปลูกในดินที่มีความเป็นด่างจะมีดอกไม้สีชมพู ฉันเดาว่าความเป็นกรดของดินที่จุดนี้คงจะมีการไล่ระดับอยู่เหมือนกัน

 

เดินเล่นไปตามถนนเพร์รี

ถนนเพร์รีที่สวยงาม (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

ระหว่างอยู่ในเมืองชิโมดะ อีกที่หนึ่งที่ต้องไปให้ได้คือถนนเพร์รีที่สวยมีเสน่ห์แห่งนี้ ซึ่งเชื่อมระหว่างวัดเรียวเซ็นจิและสวนชิโมดะ ถนนที่วิ่งเลียบไปตามคลองสายนี้มีทิวต้นหลิวเรียงรายอยู่ และอาคารส่วนมากเป็นร้านคาเฟ่และร้านอาหาร ถนนที่มีเสน่ห์แบบย้อนยุคนิดๆ และเงียบสงบสายนี้เป็นที่ที่เหมาะมากสำหรับการเดินทอดน่องสบายๆ หรือจะนั่งชิลที่คาเฟ่ก็ได้เช่นกัน

 

ด้วยความที่เป็นฤดูกาลดอกไฮเดรนเยีย จึงมีดอกไฮเดรนเยียบานอยู่ตามถนนเพอร์รี่ด้วย เกิดเป็นทิวทัศน์ยอดเยี่ยมที่บวกเข้ากับทิวต้นหลิวและสะพานสีแดงสด

 

เมืองชิโมดะมีอนุสรณ์และสถานที่มากมายที่อุทิศให้กับการมาถึงของพลเรือจัตวาเพร์รี่และกองเรือดำ (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

คุณอาจจะกำลังสงสัยอยู่ว่าทำไมต้องชื่อ “ถนนเพร์รี” นั่นก็เพราะชื่อนี้มาจากพลเรือจัตวาแมทธิว เพร์รี ผู้มาขึ้นฝั่งที่ชิโมดะในปี 1854 พร้อมกับเรือดำ (黒船 kurofune) หลายลำของเขา การมาถึงของเรือดำเหล่านี้ได้จุดชนวนเหตุการณ์อื่นๆ ที่นำไปสู่จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา

 

ใกล้ทางออกสวนชิโมดะจะมีบรรดาอนุสรณ์ที่รำลึกถึงการมาขึ้นฝั่งของพลเรือจัตวาเพร์รี่ และยังมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆ อยู่ใกล้ๆ อีกด้วย

 

Perry’s Black Ship House (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

มีร้านขนมหวานประจำท้องถิ่นที่ชื่อว่า Perry’s Black Ship House ซึ่งเสิร์ฟไอศกรีมสีดำบนโคนสีดำ แต่โชคร้ายที่ร้านปิดอยู่ตอนที่ฉันไป แต่ไม่เป็นไร ถือว่าฉันก็แค่ต้องกลับมาที่แหลมอิสุและมาเที่ยวเมืองชิโมดะอีกครั้งนั่นเอง!

 

วิธีซื้อตั๋วเพื่อขึ้น SAPHIR ODORIKO

SAPHIR ODORIKO ที่สถานี Tokyo (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

SAPHIIR ODORIKO จะเดินทางไป-กลับรอบเดียวในทุกวัน ระหว่างสถานี JR Tо̄kyо̄ (東京駅) และ สถานี Izukyū-Shimoda (伊豆急下田駅) โดยวิ่งผ่านสถานี JR Shinagawa (品川駅) และสถานี JR Yokohama (横浜駅) ระหว่างทาง รถไฟขบวนเสริมที่วิ่งออกจากสถานี JR Shinjuku (新宿駅) และ JR Shibuya (渋谷駅) อาจจะให้บริการในวันพิเศษที่เจาะจง คุณสามารถเช็คตารางเวลาและกำหนดการได้ที่นี่

 

ตั๋วรถไฟ

ตั๋วของ SAPHIR ODORIKO (เครดิตภาพ: JR East / Carissa Loh)

 

ตั๋วสำหรับขึ้น SAPHIR ODORIKO จะประกอบด้วยสามส่วนด้วยกัน:

  • ① ค่าโดยสารทั่วไป (運賃 unchin)
  • ② ส่วนต่างค่าโดยสาร Limited Express (特急料金 tokkyū ryо̄kin)
  • ③ ส่วนต่างค่าโดยสารสำหรับ Green/Premium Green / ห้อง Green แบบส่วนตัว (グリーン料金・プレミアムグリーン料金・グリーン個室料金)

สำหรับ SAPHIR ODORIKO จากสถานี Tokyo ไปยังสถานี Izukyū-Shimoda นั้น ค่าโดยสารจะมีราคา 9,810 เยนต่อท่านสำหรับที่นั่ง Green Car และราคา 12,130 ต่อท่านสำหรับที่นั่ง Premium Green Car

 

ข่าวดีสำหรับผู้ที่ถือ JR East Rail Pass คือ ถ้าคุณกำลังใช้ JR EAST PASS หรือ JR TOKYO Wide Pass อยู่ล่ะก็ ตั๋ว Pass เหล่านี้จะครอบคลุมค่าโดยสารทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้นคุณเพียงแค่ต้องซื้อตั๋วของส่วนต่างค่าโดยสาร Limited Express และส่วนต่างค่าโดยสารสำหรับ Green/Premium Green เท่านั้น

 

ซื้อได้ที่ไหน

ที่นั่งบน SAPHIR ODORIKO ทั้งหมดเป็นแบบ Reserved Seat (สำรองที่นั่ง) และต้องใช้ตั๋วในการขึ้นรถ โดยคุณสามารถซื้อตั๋วได้ตั้งแต่เวลา 10:00 น. หนึ่งเดือนก่อนวันที่จะเดินทาง ผ่านสี่ช่องทางนี้:

  • ศูนย์บริการการท่องเที่ยว JR East (JR East Travel Service Center)
  • ห้องออกตั๋วโดยสาร Midori-no-madoguchi (みどりの窓口)
  • จำหน่ายตั๋วโดยสารแบบจองที่นั่ง (指定席券売機)
  • แบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ JR-EAST Train Reservation

 

คุณสามารถซื้อตั๋วสำหรับ SAPHIR ODORIKO ได้ผ่านช่องทางออนไลน์ (Image credit: JR East)

 

คุณสามารถหาศูนย์บริการการท่องเที่ยว JR East ได้ตามสถานีรถไฟหลักๆ เช่น สถานี Tokyo สถานี Ueno สถานี Shinjuku และอีกมากมาย โดยศูนย์บริการการท่องเที่ยวตามสถานีหลักๆ นั้นจะมีพนักงานที่พูดภาษาอังกฤษได้อยู่เพื่อช่วยเหลือในเรื่องการท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ โปรดทราบว่าคุณสามารถซื้อตั๋วสำหรับห้อง Green Car แบบส่วนตัวได้ที่ศูนย์บริการการท่องเที่ยว JR East และที่ห้องออกตั๋วโดยสาร Midori-no-madoguchi เท่านั้น ในส่วนของตั๋วสำหรับตู้รถ Green และ Premium Green นั้นสามารถซื้อได้ผ่านทั้ง 4 ช่องทางที่ได้ระบุไว้ด้านบน

 

JR TOKYO Wide Pass

ตั๋ว JR TOKYO Wide Pass และพื้นที่ที่ครอบคลุม (เครดิตภาพ: JR East)

 

ตั๋ว JR TOKYO Wide Pass เป็นตั๋ว Pass ราคาย่อมเยาที่ให้คุณนั่งรถไฟบนทางรถไฟของ JR East ได้แบบไม่จำกัดเที่ยว รวมถึงรถไฟชินกันเซ็นและ Joyful Train ในพื้นที่ที่ตั๋วครอบคลุมตลอดระยะเวลา 3 วันติดกัน ด้วยความที่ตั๋วนี้มีราคาเพียง 15,000 เยนและใช้ได้ไม่จำกัดตลอดเวลา 3 ติดกัน มันจึงเป็นตั๋วคู่ใจชั้นเยี่ยมสำหรับการเดินทางด้วยรถไฟของคุณ ผู้ถือตั๋ว Pass นี้ยังสามารถสำรองที่นั่งออนไลน์ล่วงหน้าได้นานถึง 1 เดือนได้ฟรีผ่านทาง JR-EAST Train Reservation

 

ตั๋ว JR TOKYO Wide Pass ยังสามารถใช้กับประตูอัตโนมัติได้ และผู้ถือพาสปอร์ตต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นก็สามารถใช้ตั๋วนี้ได้ด้วย

 

*ตั๋ว JR TOKYO Wide Pass ครอบคลุมเพียงค่าโดยสารทั่วไปของ SAPHIR ODORIKO เท่านั้น ผู้โดยสารยังต้องซื้อตั๋วแยกต่างหากสำหรับที่นั่ง Green/Premium Green อยู่

 

JR EAST PASS

ตั๋ว JR EAST PASS (Tohoku area) (เครดิตภาพ: JR East)

ตั๋ว JR EAST PASS (Tohoku area) เป็นตั๋ว Pass ราคาย่อมเยาที่ให้คุณนั่งรถไฟบนทางรถไฟของ JR East ได้แบบไม่จำกัดเที่ยว รวมถึงรถไฟชินกันเซ็นและ Joyful Train ในพื้นที่ที่ตั๋วครอบคลุมตลอดระยะเวลา 5 วันติดกัน ด้วยความที่ตั๋วนี้มีราคาเพียง 30,000 เยนและใช้ได้ไม่จำกัดตลอดเวลา 5 ติดกัน มันจึงเป็นตั๋วคู่ใจชั้นเยี่ยมสำหรับการเดินทางด้วยรถไฟของคุณ ผู้ถือตั๋ว Pass นี้ยังสามารถสำรองที่นั่งออนไลน์ล่วงหน้าได้นานถึง 1 เดือนได้ฟรีผ่านทาง JR-EAST Train Reservation

 

ตั๋ว JR EAST PASS (Tohoku area) ยังสามารถใช้กับประตูอัตโนมัติได้ และผู้ถือพาสปอร์ตต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นก็สามารถใช้ตั๋วนี้ได้ด้วย

 

ตั๋ว JR EAST PASS (Nagano, Niigata area) (เครดิตภาพ: JR East)

 

ตั๋ว JR EAST PASS (Nagano, Niigata area) เป็นตั๋ว Pass ราคาย่อมเยาที่ให้คุณนั่งรถไฟบนทางรถไฟของ JR East ได้แบบไม่จำกัดเที่ยว รวมถึงรถไฟชินกันเซ็นและ Joyful Train ในพื้นที่ที่ตั๋วครอบคลุมตลอดระยะเวลา 5 วันติดกัน ด้วยความที่ตั๋วนี้มีราคาเพียง 27,000 เยนและใช้ได้ไม่จำกัดตลอดเวลา 5 ติดกัน มันจึงเป็นตั๋วคู่ใจชั้นเยี่ยมสำหรับการเดินทางด้วยรถไฟของคุณ ผู้ถือตั๋ว Pass นี้ยังสามารถสำรองที่นั่งออนไลน์ล่วงหน้าได้นานถึง 1 เดือนได้ฟรีผ่านทาง JR-EAST Train Reservation

 

ตั๋ว JR EAST PASS (Nagano, Niigata area) ยังสามารถใช้กับประตูอัตโนมัติได้ และผู้ถือพาสปอร์ตต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นก็สามารถใช้ตั๋วนี้ได้ด้วย

 

JR-EAST Train Reservation (เครดิตภาพ: JR East)

 

เครดิตภาพปก: JR East

Translated by: conomi.co

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

Share this article:
TSC-Banner
2410.Azumino-Right