2403-Banner-Left
Rail Travel

4 วันกับทริปนั่งรถไฟเที่ยวโทโฮคุที่ลืมไม่ลง

4 วันกับทริปนั่งรถไฟเที่ยวโทโฮคุที่ลืมไม่ลง

ด้วยตั๋ว JR EAST PASS (Tohoku area) เพียงใบเดียว คุณก็สามารถสนุกไปกับทริปที่น่าจดจำในภูมิภาคโทโฮคุที่สวยงามของญี่ปุ่นได้ ภูมิภาคนี้ได้รับการโหวตให้เป็นหนึ่งใน 10 แหล่งท่องเที่ยวที่สวยที่สุดในโลกในการจัดอันดับของ Lonely Planet ในปี 2020 ดังนั้นเราจึงจัดทริปเยี่ยมโดยไม่รอช้า

 

ในทริปสั้นๆ เพียง 4 วันนี้ คุณสามารถเยี่ยมแลนด์มาร์กชื่อดัง สัมผัสวัฒนธรรมและประเพณีของโทโฮคุ รวมถึงชิมบรรดาของอร่อยของภูมิภาคนี้ได้อีกด้วย

 

นอกจากรถไฟทั่วไปหรือรถไฟชินกันเซ็น รวมถึงบรรดาแลนด์มาร์กชื่อดังสุดประทับใจที่พวกเราไปเยี่ยมมาแล้ว  อีกหนึ่งในความประทับใจในทริปนี้ก็คือบรรดารถไฟ Joyful Train ที่สนุกไม่เหมือนใคร ความสนุกที่ลืมไม่ลง อย่างเช่น การลงแช่ออนเซ็นเท้าบน Toreiyu Tsubasa เป็นครั้งแรก และการเล่นกับพิคาชูสุดน่ารักบนรถไฟ POKÉMON with YOU Train นอกจากนี้พวกเรายังได้สนุกกับการเดินทางไปกับ Resort Shirakami รถไฟ Joyful Train รุ่นบุกเบิก รวมถึงการนั่งรถไฟภัตตาคาร TOHOKU EMOTION ที่เสิร์ฟมื้อกลางวันที่อร่อยที่สุดเท่าที่พวกเราได้เคยชิมมา

 

ทริป 4 วันในโทโฮคุของพวกเราในครั้งนี้เป็นทริปในเดือนกันยายน และในบทความนี้พวกเราจะมาแชร์แพลนและไฮไลท์ของทริปกัน

 

วันที่ 1: โตเกียว → รถไฟ Toreiyu Tsubasa → กินซังออนเซ็น → โมริโอกะ

พวกเรามาเริ่มทริปกันที่จังหวัดยามากาตะที่ขึ้นชื่อเรื่องบรรดาน้ำพุร้อนออนเซ็น เช่น กินซังออนเซ็น, อาคายุออนเซ็น หรือเท็นโดออนเซ็น เป็นต้น ในการเดินทางไปที่ยามากาตะ พวกเรานั่งรถไฟ Toreiyu Tsubasa รถไฟชินกันเซ็นที่มีธีมซึ่งสื่อถึงออนเซ็นของจังหวัดยามากาตะโดยเฉพาะ โดยรถไฟขบวนนี้ยังมีบ่อออนเซ็นให้คุณได้นั่งแช่เท้าอีกด้วย!

 

รถไฟ Toreiyu Tsubasa เป็นรถไฟชินกันเซ็นที่มีออนเซ็นเท้าให้แช่ (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

รถไฟ Toreiyu Tsubasa ที่วิ่งบนทางรถไฟสาย Yamagata Shinkansen ระหว่างสถานี Fukushima และสถานี Shinjo นั้นเป็นรถไฟที่มีจุดเด่นซึ่งสะท้อนถึงท้องถิ่นที่รถไฟวิ่งผ่านอยู่มากมาย ด้านนอกของรถไฟตกแต่งด้วยสีฟ้าและเขียวที่สื่อถึงท้องฟ้าและผืนดินของที่นี่ ในขณะที่ภายในรถมีการตกแต่งในสีโทนอุ่นที่สดใส รถไฟขบวนนี้มีตู้รถจำนวนหกตู้โดยตู้รถคันที่ 11 จนถึง 14 เป็นตู้รถผู้โดยสาร ตู้รถคันที่ 15 เป็นที่นั่งพักดื่มเครื่องดื่มและรับประทานขนมที่เรียกว่า Yuagari Lounge และตู้รถคันที่ 16 คือตู้รถที่มีออนเซ็นเท้าซึ่งเป็นไฮไลท์ของรถไฟขบวนนี้

 

ภายในตู้รถออนเซ็นเท้าของ Toreiyu Tsubasa (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

ตู้รถคันที่ 16 คือไฮไลท์เด่นประจำรถไฟขบวนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ตู้รถคันนี้มีบ่อน้ำร้อนที่ผู้โดยสารสามารถเพลิดเพลินไปกับอาชิยุ (足湯 การแช่เท้า) ระหว่างนั่งชมวิวข้างนอกไปพร้อมๆ กัน คุณสามารถลงแช่เท้าเป็นเวลา 15 นาทีและรับของที่ระลึกเช่นผ้าขนหนูผืนเล็กและถุงพลาสติกที่คุณสามารถเก็บกลับบ้านได้ ทั้งหมดนี้ในราคาเพียง 450 เยนเท่านั้น ตั๋วเข้าออนเซ็นเท้านั้นมีจำนวนจำกัด เพราะฉะนั้นทันทีที่คุณขึ้นรถไฟคุณต้องรีบไปที่เคาน์เตอร์ที่ตู้รถคันที่ 15 เพื่อรีบจับจองตั๋วให้เร็วที่สุด

 

ที่นั่งบนรถไฟ Toreiyu Tsubasa (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

ตู้รถที่นั่งผู้โดยสารถูกตกแต่งด้วยโทนสีแดงเข้ม ส่วนผนังและฉากกั้นถูกตกแต่งด้วยดีไซน์รูปเชอร์รี่ องุ่น และลูกแพร์ซึ่งเป็นผลไม้ยอดนิยมของจังหวัดยามากาตะ ที่นั่งผู้โดยสารเป็นที่นั่งที่กว้างและปูด้วยเสื่อทาทามิญี่ปุ่นพร้อมมีเบาะรองนั่งสีน้ำเงินที่มีลวดลายเป็นของขึ้นชื่อจังหวัดยามากาตะ เช่นเชอร์รี่ หมากโชงิ (将棋 หมากรุกญี่ปุ่น) และหมวกเทศกาลฮานากาสะ (เทศกาลฮานากาสะเป็นเทศกาลฤดูร้อนที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดยามากาตะ)

 

กินซังออนเซ็นชื่อดังของจังหวัดยามากาตะ (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

ในการเดินทางไปยังกินซังออนเซ็น (銀山温泉) พวกเรานั่งรถไฟ Toreiyu Tsubasa ไปยังสถานี JR О̄ishida (大石田駅) จากนั้นต่อรถบัสไปยังกินซังออนเซ็นซึ่งใช้เวลาอีก 40 นาที

 

ภาพทั่วไปของกินซังออนเซ็นที่เราเห็นจะเป็นภาพในฤดูหนาวที่ทั้งเมืองจะถูกปกคลุมด้วยหิมะ แต่กินซังออนเซ็นในฤดูร้อนจะมีอีกบรรยากาศหนึ่งที่ให้ความรู้สึกสดชื่นในแบบเมืองรีสอร์ท บรรดาโรงแรมเล็กๆ สไตล์ญี่ปุ่น (旅館 เรียวกัง) ตั้งเรียงรายอยู่ตลอดสองข้างฝั่งของคลองโดยมีสะพานข้ามคลองเล็กๆ เชื่อมเรียวกังทั้งสองฝั่งไว้อยู่ เป็นบรรยากาศที่คล้ายกับฉากใน Spirited Away ภาพยนตร์ชื่อดังของ Studio Ghibli

 

กินซังออนเซ็นเป็นสถานที่ที่สวยงามแม้ในวันฝนตก (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

แม้ว่าจะมีฝนตกพรำๆ ในวันที่พวกเราไปถึง แต่เมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และตั้งอยู่กลางภูเขาใหญ่แห่งจังหวัดยามากาตะนี้ก็ให้บรรยากาศย้อนยุคที่ตัดขาดจากความวุ่นวายของเมือง

 

วันที่ 2: โมริโอกะ → รถไฟ POKÉMON with YOU Train →หุบเขาเกบิเค → ฮิราอิสุมิ → โมริโอกะ

ในวันที่ 2 พวกเราได้ไปเยือนหุบเขาเกบิเคที่มีชื่อเสียงและเมืองฮิราอิสุมิ รวมถึงได้นั่งรถไฟ Joyful Train อีกขบวนหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือรถไฟ POKÉMON with YOU Train

 

รถไฟ POKÉMON with YOU Train (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

รถไฟ Joyful Train ที่พวกเรานั่งกันในครั้งนี้คือรถไฟ POKÉMON with YOU Train รถไฟขบวนนี้มีธีมหลักคือพิคาชูซึ่งถูกสื่อให้เห็นผ่านการตกแต่งสีเหลืองสดใส นอกจากดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์นี้แล้ว รถไฟ POKÉMON with YOU Train ยังเป็นรถไฟที่มีความหมายพิเศษอีกด้วย โดยรถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟที่สร้างขึ้นเพื่อสร้างรอยยิ้มให้กับเด็กๆ ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่ในปี 2011 อีกทั้งยังเป็นรถไฟที่เข้ามาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่โดยการช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกด้วย รถไฟขบวนนี้ให้บริการบนทางรถไฟสาย JR Ōfunato ระหว่างสถานี Ichinoseki และ Kesennuma

 

ภายในรถไฟ POKÉMON with YOU Train (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

รถไฟขบวนนี้มีตู้รถที่นั่งผู้โดยสารเพียงคันเดียวเท่านั้นและตู้รถคันอื่นเป็นห้องเล่นที่ล้วนตกแต่งด้วยสีเหลืองสะดุดตา ทันทีที่ก้าวขึ้นรถไฟคุณจะได้เห็นการตกแต่งเป็นรูปพิคาชูและโปเกบอลอยู่ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นบนพื้น เพดาน ผ้าม่าน ที่นั่ง ไปจนถึงของที่ระลึกและขนมขบเคี้ยว หลังจากรถไฟออกวิ่งมาประมาณ 15 นาทีห้องเล่นก็จะเปิดให้ผู้โดยสารเข้าไปได้ อย่าลืมถอดรองเท้าก่อนเข้าห้องเล่นด้วยนะ!

 

นั่งเรือล่องผ่านหุบเขาเกบิเค (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

พวกเรานั่งรถไฟ POKÉMON with YOU Train ไปลงสถานี JR Geibikei (猊鼻渓駅) ซึ่งจากสถานีเราสามารถเดินไปถึงหุบเขาเกบิเค (猊鼻渓 Geibikei Gorge) ได้ภายใน 5 นาทีเท่านั้น หุบเขาเกบิเคในจังหวัดอิวาเตะเป็นสถานที่ที่ทั้งสวยงามและยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก หุบเขานี้ประกอบขึ้นจากหน้าผาหินปูนที่เรียงรายไปตามแม่น้ำสะเท็ตสึกาว่า (Satetsugawa River) ตลอดความยาว 2 กิโลเมตรของแม่น้ำนี้ เราจะได้ชมหน้าผาสวยงามที่สูงหลายสิบเมตร ไม่ว่าคุณจะมาที่นี่ในฤดูกาลไหน คุณจะตะลึงกับความงามของที่แห่งนี้แน่นอน ทั้งสีเขียวสดชื่นในฤดูร้อน สีแดงแห่งฤดูใบไม้ร่วง หิมะสีขาวในฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิที่เต็มไปด้วยดอกวิสเทอเรีย 

 

ลองมาโยนอุนดามะที่หุบเขาเกบิเคกันดู (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

พวกเราซื้อตั๋วสำหรับนั่งเรือทัวร์ไปตามหน้าผา เรือเหล่านี้เป็นเรือที่ไม่มีเครื่องยนต์และคนคัดท้ายเรือจะใช้เพียงท่อนไม้ลำหนึ่งในการคัดท้ายเรือไปมา เป็นสิ่งที่หาดูได้ยากในประเทศที่ทันสมัยสุดๆ อย่างญี่ปุ่น ระหว่างทริปนี้ คนคัดท้ายเรือจะร้องเพลงพื้นบ้านและเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการว่ายทวนแม่น้ำของบรรดาปลาแซลมอนในเดือนตุลาคม และหลังเริ่มทัวร์ไป 30 นาทีพวกเราก็มาถึงพื้นที่ด้านในสุดของแม่น้ำสายนี้

 

นักท่องเที่ยวจะมีเวลาเดินชมรอบๆ เป็นเวลา 30 นาทีและมีไฮไลท์คือการได้ลองโยน อุนดามะ (運玉 หินนำโชค) จากริมแม่น้ำฝั่งนี้ไปยังช่องว่างเล็กๆ ในหน้าผาที่อยู่อีกฟากของแม่น้ำ อุนดามะมีทั้งหมดสิบแบบซึ่งต่างมีตัวอักษรสลักไว้ เช่นตัวอักษรที่หมายถึงความสุข โชค ความรัก ความร่ำรวย และอื่นๆ โดยคุณสามารถซื้ออุนดามะได้ถึงห้าก้อนในราคาเพียง 100 เยนเท่านั้น ช่องว่างที่อยู่ในหน้าผานั้นไม่ได้ดูไกลมาก แต่การโยนหินเข้าไปในช่องว่างนั้นไม่ง่ายเลย คุณสามารถมาลองวัดดวงกันได้เมื่อมาเที่ยวที่นี่!

 

มุ่งหน้าไปต่อที่วัดชูซอนจิ (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

หลังเยือนหุบเขาเกบิเค พวกเราไปที่เมืองฮิราอิสุมิเพื่อไปเยี่ยมชมวัดชูซอนจิ (Chusonji Temple) หนึ่งในวัดทางประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่ภูเขาที่มีอากาศบริสุทธิ์ปลอดโปร่ง ชื่อชูซอนจิเป็นชื่อที่ใช้เรียกรวมๆ ของทั้งวัดขนาดใหญ่และวัดขนาดเล็กทั้งหมด 17 แห่งที่ตั้งอยู่บนเนินเขา เส้นทางสู่พื้นที่วัดนั้นยาวเกือบ 1 กิโลเมตรและมีต้นซีดาร์สูงใหญ่เรียงรายอยู่ตลอดสองข้างทาง โดยเส้นทางนี้มีชื่อเรียกว่า “สึกิมิ ซากะ” ที่มีความหมายว่า “ทางเดินชมจันทร์”

 

ระหว่างทางไปยังคนจิคิโด (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

หนึ่งในไฮไลท์ของวัดแห่งนี้คือคนจิคิโด อาคารหอทางศาสนาพุทธที่สร้างขึ้นเมื่อปี 1124 และถูกแกะสลักอย่างประณีตพร้อมปิดทองคำเปลวทั้งด้านในและด้านนอกอาคาร นอกจากนี้ในพื้นที่วัดแห่งนี้ยังมีต้นเมเปิ้ลจำนวนมากอยู่ ดังนั้นอย่าลืมมาเที่ยวที่นี่ให้ได้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง (ช่วงปลายเดือนตุลาคมจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน) เพื่อชมทิวทัศน์ตระการตาของบรรดาใบเมเปิ้ลที่เปลี่ยนเป็นสีแดงสดใสกันนะคะ

 

วันที่ 3: TOHOKU EMOTION

หลังจากที่เดินมาแล้ว 2 วัน ในวันที่ 3 พวกเราตั้งใจจะเที่ยวแบบสบายๆ หน่อยโดยการใช้เวลาทั้งวันนี้กับการเพลิดเพลินไปกับรถไฟ Joyful Train อีกขบวนหนึ่ง นั่นคือ TOHOKU EMOTION รถไฟภัตตาคาร

 

TOHOKU EMOTION รถไฟภัตตาคารหรู (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

TOHOKU EMOTION เป็นรถไฟภัตตาคารหรูที่ให้บริการมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2013 เพื่อโปรโมททางรถไฟและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่โดยการเสิร์ฟอาหารรสเลิศที่ปรุงจากวัตถุดิบท้องถิ่นในบรรยากาศหรูหรามีระดับ รถไฟขบวนนี้วิ่งระหว่างสถานี Hachinohe และสถานี Kuji บนทางรถไฟสาย JR Hachinohe โดยใช้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมงในการเดินทางไปตามชายฝั่งซันริกุในแถบตะวันออกของภูมิภาคโทโฮคุ

 

ชมวิวมหาสมุทรแปซิฟิกที่สวยงามนอกหน้าต่างได้อย่างจุใจจากโต๊ะอาหารของเรา (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

เมื่อถึงจุดที่มีวิวสวยงาม รถไฟจะชลอลงเพื่อให้คุณสามารถชื่นชมวิวธรรมชาติอันสวยงามได้ขณะที่กำลังค่อยๆ ลิ้มรสอาหารอร่อยอย่างละเมียดละไมหรือขณะกำลังถ่ายรูปเป็นที่ระลึก พวกเราทั้งเซอร์ไพรส์และประทับใจมากที่ได้เห็นอาสาสมัครในท้องถิ่นออกมายืนโบกธงต้อนรับขณะที่รถไฟวิ่งผ่าน

 

พรมแดงที่ปูรอต้อนรับคุณ (เครดิตรูปภาพ: JR East / Akio Kobori)

 

ด้านนอกของขบวนรถไฟมีการตกแต่งที่สะดุดตาด้วยลวดลายกำแพงอิฐสีขาว หน้าต่างบานใหญ่ และโคมไฟที่ห้อยอยู่นอกประตูรถ พนักงานจะรอต้อนรับคุณอยู่ที่หน้าประตูและจะนำทางคุณไปยังที่นั่งที่คุณจองไว้ นอกจากนี้ในวันอากาศดีคุณอาจจะได้เดินบนพรมแดงเพื่อขึ้นรถไฟได้ด้วย!

 

ตู้รถห้องรับประทานอาหารและห้องครัวแบบเปิดบน TOHOKU EMOTION (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

รถไฟขบวนนี้มีตู้รถทั้งหมด 3 คันและรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 48 คน ตู้รถคันที่หนึ่งมีที่นั่งรับประทานอาหารที่แบ่งโต๊ะเป็นสัดส่วน (แต่ละโต๊ะรองรับแขกได้สูงสุด 4 คน) ตามด้วยพื้นที่ Open Kitchen ที่ให้แขกได้ชมเชฟจัดเตรียมอาหารได้ และท้ายที่สุดคือส่วนภัตตาคารที่มีที่นั่ง 20 ที่

 

มื้อกลางวันแสนอร่อยของเราบน TOHOKU EMOTION (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

เมื่อครั้งที่พวกเราขึ้นรถไฟขบวนนี้ อาหารส่วนมากจะเป็นอาหารสไตล์ยุโรปที่ปรุงจากวัตถุดิบท้องถิ่น เมนูบนรถไฟจะถูกเปลี่ยนอยู่เรื่อยๆ (เปลี่ยนทุกๆ ช่วง 3-6 เดือน) ดังนั้นคุณสามารถขึ้นรถไฟขบวนนี้ได้อีกเรื่อยๆ เพื่อลองเมนูต่างๆ ระหว่างทริปนี้เชฟผู้ปรุงอาหารคือเชฟฮาราตะ เคน (Harata Ken) จาก "trattoria LIPAGIO" ร้านอาหารอิตาเลียนในเมืองฮิโรซากิ คุณภาพของอาหารนั้นทั้งสดใหม่และอร่อยอย่างไร้ที่ติ

 

บรรดาของหวานบน TOHOKU EMOTION (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

ในขณะที่การเดินทางจากฮาชิโนเฮะไปคุจิจะมีบรรยากาศภัตตาคารสุดโรแมนติก รถไฟขากลับจากคุจิไปฮาชิโนเฮะจะให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในคาเฟ่ด้วยบรรดาขนมอบและของหวานแสนอร่อยมากมาย ในลำดับแรกคุณจะได้เซ็ทของหวานแบบ Standard ซึ่งประกอบไปด้วยช็อกโกแลตขาวที่มีโลโก้ TOHOKU EMOTION ที่เสิร์ฟกับไอศกรีม เค้กฟองน้ำ และเยลลี่มะม่วง

 

ขนมหวานบน TOHOKU EMOTION (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

ในลำดับต่อไปคุณจะไปที่ตู้รถซึ่งมีเคาน์เตอร์ครัวเพื่ออิ่มอร่อยกับบุฟเฟ่ต์ที่มีทั้งเค้ก ทาร์ต และเยลลี่ผลไม้มากมายให้เลือก นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มอีกหลากหลายให้เลือก โดยหลักๆ จะเป็นชา กาแฟ และน้ำผลไม้ที่ปราศจากแอลกอฮอล์ให้คุณได้ดื่มระหว่างอร่อยกับของหวาน

*ตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของ COVID-19 รถไฟภัตตาคาร อย่างเช่น TOHOKU EMOTION จะเปลี่ยนการให้บริการโดยอาหารและของหวานในบุฟเฟ่ต์จะถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะของผู้โดยสารแทน

 

วันที่ 4: อาโอโมริ → Resort Shirakami → ฮิโรซากิ → โตเกียว

หลังจากนั่ง “อิ่มท้อง” กันมาทั้งวันบน TOHOKU EMOTION พวกเราก็ออกเดินทางเพื่อสำรวจภูมิภาคโทโฮคุกันต่อ จุดหมายปลายทางสุดท้ายของเราคือจังหวัดที่ตั้งอยู่เหนือสุดของภูมิภาคนั่นคือจังหวัดอาโอโมริ ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงเรื่องแอปเปิ้ลสดอร่อยและอาหารทะเล นอกจากนี้พวกเรายังได้นั่งรถไฟ Joyful Train อีกขบวน นั่นคือ Resort Shirakami

 

บรรดาโคมที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ Nebuta Museum WA RASSE (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

หลังจากเดินทางมาถึงเมืองอาโอโมริ ที่แรกที่พวกเราไปคือพิพิธภัณฑ์ Nebuta Museum WA RASSE ซึ่งสามารถเดินไปถึงได้ใน 3 นาที่จากสถานี JR Aomori (青森駅) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้นับเป็นพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจมากๆ แห่งหนึ่งซึ่งอุทิศให้กับเทศกาลเนบูตะชื่อดังของเมืองที่มักจะถูกจัดในช่วงต้นเดือนสิงหาคมของทุกปี เทศกาลนี้มีชื่อเสียงเรื่องโคมเนบูตะขนาดยักษ์ ในแต่ละปี ทีมที่เข้าร่วมงานเทศกาลจะนำโคมที่สวยที่สุดเข้ามาร่วมงานและแห่โคมไปตามถนนโดยมีคนจำนวนมากร่วมกันเต้นรำและร้องขาน “รัสเซระ รัสเซระ รัสเซ รัสเซ รัสเซระ

 

เลือกผลิตภัณฑ์จากแอปเปิ้ลเป็นของฝากได้ตามชอบที่ A-FACTORY (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

ข้างๆ พิพิธภัณฑ์ Nebuta Museum WA RASSE คือ A-FACTORY ศูนย์การค้าที่มีทั้งศูนย์ผลิตแอปเปิ้ลไซเดอร์ ร้านค้าเฉพาะทาง ของฝาก ร้านอาหาร และคาเฟ่ อาโอโมริมีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในจังหวัดที่เป็นแหล่งผลิตแอปเปิ้ลที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ดังนั้นคุณจะได้เห็นผลิตภัณฑ์พิเศษมากมายที่ผลิตจากแอปเปิ้ลที่นี่

 

เจลาโต้แอปเปิ้ลแสนอร่อยที่ A-FACTORY (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

แต่ที่สำคัญที่สุด อย่าลืมไปลองชิมเจลาโต้รสแอปเปิ้ลที่ร้าน “gelato naturadue” ให้ได้นะคะ โดยเจลาโต้นี้ทำจากแอปเปิ้ลหลายชนิดที่มีความหวานและความเปรี้ยวที่หลากหลายต่างกันออกไป ที่ชั้นสองจะมีร้านอาหารและบาร์ให้คุณสามารถชิมเหล้าไซเดอร์หลากชนิดที่ผลิตโดย A-FACTORY ได้

 

หอยเชลล์อร่อยๆ ที่ตลาดปลา Auga Shinsen (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

ในทริปนี้พวกเรามีโอกาสไปเยือนตลาดปลา Auga Shinsen (アウガ新鮮市場 Auga Shinsen Ichiba) ซึ่งเป็นตลาดปลาที่ตั้งอยู่ ณ ชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้า Auga Festival City ตลาดแห่งนี้มีร้านค้ามากมายที่จำหน่ายปลา อาหารทะเล ผัก และอาหารแปรรูปหลากหลายชนิด โดยอาหารทะเลสดๆ ในตลาดนี้จะถูกส่งตรงมาจากท่าเรืออาโอโมริ และคุณสามารถหาซื้ออาหารทะเลได้แทบจะทุกชนิดที่นี่ ตั้งแต่สาหร่ายไปจนถึงทูน่าครีบน้ำเงิน ปลาหมึกสด และหอยเชลล์ที่ขึ้นชื่อของเมืองอาโอโมริ นอกจากนี้ ตลาดแห่งนี้ยังมีร้านอาหารมากมายที่เสิร์ฟอาหารทะเลสดๆ ด้วย โดยพวกเราตัดสินใจลองชิมเมนูหอยเชลล์ชื่อดังของอาโอโมริดู ซึ่งรสชาตินั้นอร่อยเกินคาด!

 

ขบวนรถ Buna ของรถไฟ Resort Shirakami (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

ต่อจากเมืองอาโอโมริ พวกเราก็เดินทางไปที่เมืองฮิโรซากิกันต่อด้วยรถไฟ Joyful Train ขบวนแรก Resort Shirakami ซึ่งรถไฟ Resort Shirakami นี้มีขบวนรถทั้งหมดสามเวอร์ชั่น ได้แก่ Buna, Aoike และ Kumagera ชื่อของขบวนรถไฟแต่ละเวอร์ชั่นนี้มีที่มาจากสถานที่เด่นของชิราคามิซันจิที่เป็นพื้นที่มรดกโลก UNESCO ที่รถไฟขบวนนี้วิ่งเลียบผ่านบริเวณโดยรอบ

 

ระหว่างทริปนี้ พวกเราได้ลองนั่งรถไฟขบวน Buna ที่มีความหมายในภาษาญี่ปุ่นว่า “ต้นบีช” รถไฟขบวนนี้เป็นขบวนที่ใหม่ที่สุดที่ได้รับการปรับปรุงใหม่เมื่อปี 2016 โดยการทาสีเขียวเพื่อสื่อถึงความกลมเกลียวกับธรรมชาติอันสวยงามของที่นี่ ภายในขบวนรถไฟเองก็พิเศษไม่แพ้กันด้วยการใช้ไม้ซีดาร์ชื่อดังของพื้นที่อาคิตะที่รถไฟวิ่งผ่าน นอกจากนี้ การตกแต่งโทนสีสดใสภายในรถไฟยังช่วยให้ผู้โดยสารรู้สึกผ่อนคลายและอบอุ่นได้ดีอีกด้วย และยังมี WiFi บริการฟรีบนรถอีกด้วยนะ!

 

ที่นั่งกว้างสบายบน Resort Shirakami (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

รถไฟ Resort Shirakami ทุกขบวนจะมีตู้รถสี่ตู้ คุณสามารถเลือกได้ว่าจะนั่งในตู้รถที่มีที่นั่งสองแถวซึ่งมาพร้อมพื้นที่วางเท้าที่กว้างสบาย หรือจะนั่งในตู้รถที่มีห้องกั้นแยก หน้าต่างของรถไฟที่มีขนาดกว้างเป็นพิเศษให้คุณสามารถชื่นชมทิวทัศน์ที่สวยงามระหว่างทางได้อย่างสบายๆ

 

เก็บแอปเปิ้ลที่สวน Hirosaki Apple Park (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

พวกเรานั่งรถไฟไปจนถึงสถานี JR Hirosaki (弘前駅) และที่ฮิโรซากินี้ พวกเราได้ไปเที่ยวสองสถานที่ชื่อดังของเมือง ได้แก่สวน Hirosaki Apple Park และสวนสาธารณะฮิโรซากิ (Hirosaki Castle Park) ณ สวน Hirosaki Apple Park นั้นมีต้นแอปเปิ้ลราวๆ 2,300 ต้นจากทั้งหมด 80 สายพันธุ์ จากในสวน คุณสามารถเห็นวิวภูเขาอิวากิอยู่ไกลๆ ได้ และในช่วงเดือนสิงหาคมจนถึงพฤศจิกายน นักท่องเที่ยวสามารถมาทำกิจกรรมเก็บแอปเปิ้ลสายพันธุ์ต่างๆ ที่ออกผลในฤดูกาลได้ เช่นแอปเปิ้ลพันธุ์นัตสึมิโดริที่จะออกผลช่วงต้นเดือนสิงหาคม และแอปเปิ้ลพันธุ์โอรินและฟูจิที่จะออกผลในเดือนพฤศจิกายน

 

สวนสาธารณะฮิโรซากิ (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

สวนสาธารณะฮิโรซากิมีชื่อเสียงในฐานะหนึ่งในสามจุดชมดอกซากุระที่สวยงามที่สุดของญี่ปุ่นด้วยต้นซากุระกว่า 2,600 ต้นที่อยู่ในพื้นที่สวน รวมถึงต้นไม้เก่าแก่อื่นๆ ที่มีอายุยาวนานถึงศตวรรษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นโยชิโนะซากุระที่ถูกปลูกในปี 1882 แม้ว่าทริปนี้ของเราจะเป็นทริปในช่วงฤดูร้อน แต่วิวทิวทัศน์ที่นี่ก็ยังสวยงามไม่แพ้กัน

 

ค้างที่ไหนดีสำหรับทริปนี้

เมืองโมริโอกะ (เครดิตรูปภาพ: Iwate Prefecture)

 

สำหรับทริปครั้งนี้ พวกเราค้าง 4 คืนที่เมืองโมริโอกะในจังหวัดอิวาเตะ เมืองแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงศูนย์กลางของจังหวัดอิวาเตะเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคโทโฮคุอีกด้วย กล่าวคือว่าการค้างที่นี่สามารถช่วยคุณประหยัดเวลาเดินทางได้มากทีเดียว คุณสามารถค้างที่นี่ได้ระหว่างเที่ยวรอบโทโฮคุโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการแบกสัมภาระหนักๆ ไปมา รวมถึงไม่ต้องกังวลเรื่องต้องคอยเช็คอินเช็คเอ้าท์ทุกวันอีกด้วย

 

ภาพบน: รถไฟชินกันเซ็น Hayabusa และ Komachi บนเส้นทาง Tohoku Shinkansen และ Akita Shinkansen (เครดิตรูปภาพ: JR East)
ภาพล่าง: ลำธารโออิราเสะ, ทะเลสาบโทวาดะ, ทะเลสาบทาซาวะ, หมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะ (เครดิตรูปภาพ: Japankuru, Tohoku Tourism Promotion Organization)

 

นอกจากนี้ สถานี JR Morioka ยังเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวสามารถต่อรถไปยังพื้นที่แถบอื่นได้โดยรถไฟ Tohoku Shinkansen และ Akita Shinkansen เพื่อเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างลำธารโออิราเสะและทะเลสาบโทวาดะในจังหวัดอาโอโมริ หรือทะเลสาบทาซาวะและหมู่บ้านซามูไรคาคุโนะดาเตะในจังหวัดอาคิตะเป็นต้น แม้ในทริปนี้พวกเราจะไม่ได้ไปเที่ยวในสถานที่เหล่านี้ แต่พวกเราก็อยากกลับมาเที่ยวที่นี่อีกครั้งแน่นอน!

 

อิ่มอร่อยในโมริโอกะ

ที่พิเศษคือโมริโอกะในยามค่ำคืนเองก็ครึกครื้นด้วย เมนูที่ห้ามพลาดเลยคือสามอาหารเส้นชื่อดังแห่งโมริโอกะได้แก่ วังโกะโซบะ เรเมน และจาจาเมน อีกทั้งคุณยังสามารถนั่งชิลตามผับในเมืองได้อีกด้วย

 

วังโกะโซบะ

การลองท้าเมนูวังโกะโซบะของเรา  (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

วังโกะโซบะนับเป็นหนึ่งในกิจกรรมท้าทายและประสบการณ์ที่น่าสนใจที่สุดในบรรดาอาหารเมืองโมริโอกะ! จุดที่วังโกะโซบะต่างจากเมนูโซบะทั่วไปคือการเสิร์ฟโซบะในถ้วยเล็กๆ ในปริมาณพอดีคำ พร้อมด้วยเครื่องเคียง “ท็อปปิ้ง” ต่างๆ เช่นต้นหอม ขิง ซาชิมิ และผักดอง ความสนุกคือการได้ลองท้าทายตัวเองดูว่าคุณจะรับประทานโซบะต่อเนื่องได้มากสุดกี่ชาม! เมื่อเริ่มกิจกรรมท้าทาย พนักงานร้านจะเติมเส้นโซบะจากถ้วยเล็กๆ ลงในถ้วยของคุณอย่างต่อเนื่อง และคุณต้องรับประทานโซบะทันทีที่เส้นลงมาอยู่ในถ้วยของคุณ ขั้นตอนนี้จะวนซ้ำไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะรับประทานต่อไม่ไหวและใช้ฝาปิดถ้วยของคุณ

 

คุณสามารถลองท้ากินวังโกะโซบะได้ที่ร้าน Azumaya ถ้าทำได้ลองท้าตัวเองที่เป้าหมาย 100 ถ้วยกันได้นะคะ (สถิติสูงสุดของผู้หญิงอยู่ที่ 570 ถ้วย และสถิติสูงสุดของผู้ชายอยู่ที่ 500)

 

Azumaya Honten (Main Branch) (東家本店)
ที่อยู่: 1-8-3 Nakanohashi-dori, Morioka-shi, Iwate 020-0871
การเดินทาง: จากสถานี JR Morioka นั่งรถบัสประจำทางไปที่สถานีขนส่ง Morioka Bus Center จากนั้นเดินอีก 3 นาที
โทร.: +81-120-733-130

 

เรเมน

เรเมนที่ร้าน Seirokaku (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

เรเมน (冷麺 บะหมี่เย็น) เป็นเมนูที่มีในหลายพื้นที่ทั่วประเทศญี่ปุ่น แต่เรเมนของโมริโอกะนั้นมีรสชาติที่ต่างจากที่อื่นด้วยส่วนผสมของเส้นที่ใช้แป้งมันฝรั่ง คนทั่วไปมักนิยมรับประทานเรเมนหลังจากอิ่มอร่อยกับยากินิคุ (焼肉 บาร์บีคิวสไตล์ญี่ปุ่น) มาแล้วเพราะเรเมนจะช่วยไปตัดรสชาติของเนื้อปิ้งย่าง ในทริปนี้เราเลยมารับประทานให้เต็มที่ที่โมริโอกะโดยเริ่มจากบาร์บีคิวแล้วตามด้วยเรเมนที่ร้าน Seirokaku (盛 楼閣) ร้านอาหารที่ตั้งอยู่หน้าสถานี JR Morioka โดยหลังจากได้อร่อยกับยากินิคุกันเรียบร้อยพวกเราก็ได้มาชิมเรเมนในที่สุด!

 

Seirokaku (盛楼閣)
ที่อยู่: 2F GEN Plaza, 15-5 Morioka Ekimae-dori, Morioka, Iwate
การเดินทาง: จากสถานี JR Morioka เดินต่ออีก 2 นาที
เวลาทำการ: 11:00–02:00
โทร.: +81-19-654-8752

 

จาจาเมน

จาจาเมนของร้าน Pairon (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

ท้ายที่สุดนี้ที่พลาดไม่ได้ก็คือจาจาเมน เมนูที่มีต้นแบบจากเมนูเส้น Zhajiangmian (炸酱面) ของจีนและ Jjajangmyeon (짜장면) ของเกาหลี จาจาเมนถือเป็นหนึ่งในเมนูที่ต้องชิมให้ได้เมื่อมาเที่ยวเมืองโมริโอกะ วัตถุดิบหลักของจาจาเมนได้แก่เนื้อสับ มิโสะ และเส้นบะหมี่อวบขาวคล้ายเส้นอุด้ง จาจาเมนจะถูกเสิร์ฟพร้อมแตงกวาหั่นแว่น ต้นหอมสับ และขิงแดง เส้นบะหมี่และวัตถุดิบด้านบนจะถูกคลุกให้เข้ากัน จากนั้นจึงปรุงรสด้วยซีอิ๊ว ผัก และเครื่องเทศเช่นกระเทียม น้ำมันพริก และน้ำสมสายชูตามชอบ แล้วคุณก็จะได้จาจาเมนแสนอร่อยแล้ว!

 

ปิดท้ายมื้อกันด้วยการเปลี่ยนจาจาเมนเป็นจิตันตัน! (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

อย่าเพิ่งรีบรับประทานจาจาเมนจนหมดก่อนนะ แนะนำให้ทำเป็นจิตันตัน (ちたんたん ซุปไข่) ด้วย เมื่อรับประทานจนเหลือบะหมี่ไว้จำนวนหนึ่ง คุณสามารถบอกพนักงานร้านได้ว่าคุณอยากได้จิตันตันแล้วพนักงานก็จะนำไข่ดิบมาให้ เมื่อตอกไข่ลงในชามเรียบร้อยพนักงานก็จะรินน้ำซุปร้อนๆ ลงไปในชามบะหมี่ เมื่อไข่สุกก็ได้เวลาอร่อยกับจิตันตันแล้ว!

 

ร้านโปรดแห่งหนึ่งที่คุณจะสามารถมาชิมเมนูเส้นนี้ได้คือที่ร้าน Pairon (白龍) ร้านอาหารชื่อดังที่โดดเด่นในเรื่องเมนูจาจาเมน ร้านอาหารนี้มีสี่สาขาในเมืองโมริโอกะ รวมถึงสาขาที่ห้างสรรพสินค้า Fesan ข้างสถานี JR Morioka ซึ่งเดินทางไปได้สะดวกอีกด้วย

 

Pairon (Fesan Branch) (白龍フェザン店)
ที่อยู่: 1F Fesan Odense-kan, Morioka Station Building, 1-44 Morioka Ekimae-dori, Morioka-shi, Iwate 020-0034
การเดินทาง: ติดกับสถานี JR Morioka
เวลาทำการ: 11:00–21:30
โทร.: +81-19-623-5167

 

ชีวิตยามค่ำคืน

สำรวจชีวิตยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยสีสันของโมริโอกะ (เครดิตรูปภาพ: Nguyen Duy Khanh)

 

โมริโอกะเป็นเมืองที่ค่อนข้างทันสมัยในภูมิภาคโทโฮคุและมีบรรยากาศยามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยสีสัน ระหว่างที่พักที่นี่ คุณสามารถสำรวจนากะโดริย่านท่องเที่ยวยามค่ำคืนที่มีชื่อเสียงและเรียงรายไปด้วยอิซากายะ ผับ และบาร์มากมายที่ดึงดูดทั้งคนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวจำนวนมากให้มาที่นี่ นอกจากนี้คุณยังสามารถเดินเล่นไปตามริมแม่น้ำคิตาคามิและลองชิมร้านอาหารที่เป็นบาร์เบียร์ซึ่งตกแต่งได้อย่างทันสมัยและได้รับความนิยมในกลุ่มคนหนุ่มสาวเมื่อไม่นานมานี้

 

การเดินทาง

JR EAST PASS (Tohoku area)

ตั๋ว JR EAST PASS (Tohoku area) แบบใหม่และพื้นที่ที่ตั๋วครอบคลุม (เครดิตรูปภาพ: JR East)

 

ถ้าคุณมีแพลนเดินทางมาเที่ยวภูมิภาคโทโฮคุ ขอแนะนำ JR EAST PASS (Tohoku area) ตั๋วโดยสารราคาย่อมเยาที่สามารถใช้ขึ้นรถไฟสาย JR East ได้ไม่จำกัดรอบ (รวมรถไฟชินกันเซ็น) ในพื้นที่ที่ตั๋วครอบคลุมได้ตลอดระยะเวลา 5 วันติดกัน ด้วยราคาเพียง 20,000 เยนเท่านั้น ตั๋วนี้จึงมีราคาถูกกว่าค่าโดยสารไปกลับระหว่างโตเกียวและอาโอโมริ (~33,000 เยน) นอกจากนี้ถ้าคุณเป็นผู้ถือพาสปอร์ตต่างประเทศที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นเหมือนกันกับพวกเรา คุณก็ใช้ตั๋วนี้ได้ด้วยเช่นกัน! ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2021 เป็นต้นไป ผู้ถือพาสปอร์ตต่างประเทศทุกคนจะสามารถใช้ตั๋ว JR EAST PASS (Tohoku area) ได้ รวมถึงผู้ที่กำลังทำงานหรือเรียนอยู่ที่ญี่ปุ่นด้วย

 

หมายเหตุ: ความเปลี่ยนแปลงในข้อกำหนดและราคาของตั๋ว JR EAST PASS (Tohoku area) จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2021 เป็นต้นไป อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

 

เครดิตรูปภาพส่วนหัวบทความ: Nguyen Duy Khanh
Translated by ANNGLE

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

Share this article:
TSC-Banner
2403-Hokuriku-Right